เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่เราสามารถไขข้อข้องใจและหาคำตอบได้แล้วจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นของตนเอง และอ่านบทความวิทยาศาสตร์เสริม
เรื่องมีอยู่ว่าผมกับแฟนมักจะรับรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการผ่านคลื่นความคิดโดยไม่ต้องพูดออกมา เพียงแค่แฟนผมคิดผมก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรและต้องการอะไรแบบหยาบๆ แต่มันไม่ได้ออกมาในรูปแบบว่า ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไร เพียงแต่เราซึ่งเป็นผู้รับสารแล้วเอ่ยออกมา เช่น แฟนกำลังคิดว่าจะแวะซื้อน้ำส้มระหว่างทางกลับบ้าน แต่เขาไม่ได้พูดออกมา แต่ผมเป็นคนพูดออกมาเองว่ากินน้ำส้มไหมทั้งๆที่เราไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับน้ำส้มมาก่อน แล้วเราก็จะพูดขึ้นพร้อมกันว่าทำไม่คิดเหมือนกัน ทำไมเธอรู้ว่าเรากำลังจะพูดอะไร และอีกหลายเรื่อง เช่นไปซื้อกับข้าว อาหาร ผลไม้ ที่เฉพาะเจาะจง ตรงตามที่อีกฝ่ายอยากกิน เราก็มักจะคิดว่าเราใจตรงกัน ทำไมรู้ใจเรา บังเอิญจัง อะไรทำนองนี้ และเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราทั้งสองคนเป็นประจำ และล่าสุดที่ทำให้สนใจและอ่านหาคำตอบเรื่องนี้เกิดจากเมื่อวันที่ผ่านมาเพื่อนมาเยี่ยมแฟนที่บ้าน และซื้อของมาฝาก โดยมากัน4คน ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาที่ผมกำลังจะออกไปซื้ออาหารมื้อเย็นที่ตลาดพอดีทำให้เราได้เจอกันแปบนึงโดยที่ทุกคนบนรถยังไม่ได้ลงรถและผมก็เดินผ่านไปขึ้นรถและแนะนำว่าจอดตรงนี้และผมก็ขับรถออกบ้านไป แต่เรื่องมันเป็นผลตอนที่ผมกลับมาจากตลาดพบว่า ผมซื้อ แอปเปิ้ล ลูกพลับ ลูกชิ้นทอด เค้ก ตรงกันกับของที่ทั้ง4คนซื้อมาฝาก โอ้!! มหัศจรรย์มาก ซื้อของมาชนกัน 4 อย่างโดยมิได้นัดหมาย อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมเลือกซื้อทั้ง 4 อย่างมาเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นั่นทำให้ผมสนใจเรื่องนี้จริงจังขึ้นทันที่ ถ้าไม่สนใจอะไรก็ปล่อยผ่านไปแต่สำหรับผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ มันไม่ใช่จิตวิทยาแน่ๆ แต่มันน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าที่สมองส่งออกมาแล้วผมดันเป็นพวกที่สมองสามารถ receiver สัญญานได้ดีเลยทำให้สามารถรับคลื่นความคิดที่คนอื่นส่งออกมาได้ดีแม้ไม่ได้พูดออกมา
เอาละมาดูเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นสมอง ที่ค้นพบคือ ทฤษฎีโทรจิต (อังกฤษ: telepathy) [1](วิกิพีเดีย สืบค้น161163)เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยไม่ใช้ช่องทางทางประสาทสัมผัสหรือไม่มีปฏิกิริยาทางกายเลย นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่เรียก “การอ่านภาพจากประสาท” (neuroimaging) ซึ่งช่วยให้อ่านใจในรูปแบบง่าย ๆ ได้ คำภาษาอังกฤษ “telepathy” นั้นเฟรเดริก วิลเลียม เฮนรี ไมเออส์ (Frederic William Henry Myers) นักวิชาการซึ่งก่อตั้งสมาคมวิจัยกายภาพ (Society for Psychical Research) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 1882และนับแต่นั้นจนปัจจุบันก็ได้รับความนิยมเป็นอันมากยิ่งกว่าถ้อยคำที่ใช้กันก่อนหน้าว่า “การถ่ายโอนความคิด” (thought-transference)
ยกตัวอย่าง มหาวิทยาลัยวอชิงตันได้เคยทำสำเร็จมาแล้ว โดยบุคคลต้นทางคิดจะขยับนิ้วมือ และคลื่นสมองก็ถูกส่งผ่านอินเตอร์เน็ตไปยังบุคคลปลายทาง ส่งผลให้บุคคลปลายทางขยับนิ้วมือบนคีย์บอร์ดตามความคิดของบุคคลต้นทาง โดยบุคคลทั้งสองฝั่ง ต้องสวมใส่อุปกรณ์คล้ายหมวก เพื่อช่วยในการแปลงคลื่นสมองด้วย[2] (ไทยรัฐ สืบค้น 161163)
นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีการทดลองวิจัยเกี่ยวกับคลื่นสมองหลายแหล่งเช่นการทดสอบวาดรูปด้วยความคิดของ เครื่องมือที่เรียกว่า Aura ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะรับสัญญาณคลื่นสมอง มีเซนเซอร์เพื่อจับสัญญาณ Bio-signals โดยบริษัท Mirai ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้สำหรับวงการการแพทย์ การศึกษา และงานในเชิงธุรกิจ[3] นอกจากนี้ปัจจุบันหลายประเทศมุ่งศึกษาวิจัยเรื่องดังกล่าวแบบเอาจริงเอาจังไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือนายอีลอนมัส เจ้าของฉายาไอออนแมนชีวิตจริง และบริษัทรถยนต์บางยี่ห้อ ได้ลงทุนศึกษาเรื่องคลื่นสมองเพื่อใช้สำหรับควบคุมอุปกรณ์หรือแม้แต่ไว้อ่านความคิดของคนเพื่อการตลาด[4]
สรุป ผลการสังเกตและคาดการณ์ของผมเองไม่ได้มีการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ทดลองแต่เป็นการอ้างอิงเชิงสถิตินะครับ คือ
1. ระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันนานทำให้รู้ใจกันอาจจะมีสาเหตุมาจากสมองของทั้งสองคนอยู่ใกล้ชิดกันนานๆอาจมีการปรับจูนคลื่นความถี่เข้าหากันได้ทำให้ไวต่อการส่งสัญญานของอีกฝ่าย
2. จากกรณีซื้อของมาตรงกับเพื่อนข้างต้นอาจขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ถ่ายทอดสัญญานสมองออกมาพร้อมๆกันหลายๆคนเพราะทุกคนในรถรับรู้เรื่องของฝากเหมือนกันเลยปล่อยคลื่นออกมาพร้อมๆกันทำให้ผมสามารถรับคลื่นสมองจากอีกฝ่ายได้ดีขึ้นแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานและอยู่ระยะห่างกันได้ถึง2–3เมตร
3. จากกรณีข้างต้นก็สนใจว่าใครเคยเป็นเหมือนผมไหมเอามาเล่าแบ่งปันกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงประมาณว่ามึงบ้าไปแล้ว แต่หลังๆมีหนังแนวนี้บ่อยก็เป็นพวกอ่านความคิดคนอื่นได้ metahuman ในจักรวาลมาร์เวล
4. ข้อเสียในด้านนี้ที่มีผลโดยตรงคือเก็บความลับไม่ได้มันดันส่งออกมาจากสมองโดยตรงคงต้องหาหมวกฟลอยมากั้นคลื่นไว้ มีกิ๊กไม่ได้โดนจับได้หมด ต้องฝึกควบคุมออร่าสมอง…สำหรับคนที่ที่คิดจะมีนะ
5. หลายครั้งรู้สึกว่าตัวเองมีจิตวิทยาอ่านใจคนอื่นประนีประนอมประสานความเข้าใจระหว่างคนได้อันที่จริงน่าจะมีผลจากการเป็น receiver นี่แหละทำให้มีคุณสมบัตินั้นได้ อันนี้ไม่ชัวร์อาจจะคิดไปเองหรือหลอน ยังไม่ปักใจเชื่อแต่อ่านใจแฟนเนี๊ยไม่ยากเพราะคลื่นคงจูนใกล้กันแล้ว
6. เคยพยายามใช้สมองลองคิดโฟกัสบางอย่างเพื่อจะให้แฟนพูดสิ่งที่เราคิดออกมาแต่ยังไม่สำเร็จ555 อาจจะเพราะระยะเวลาในการสั่งหรือโฟกัสความคิดน้อยไป หรือไม่แฟนก็ไม่ได้เป็นพวก receiver เหมือนเราเลยภาครับคลื่นทำงานได้ไม่ดี หรือว่ามันต้องมีจังหวะอันนี้ไม่รู้ บลาบลาบลา คือถ้าผมส่งความคิดให้คนอื่นได้จริง คงเจ๋งน่าดูเหมือนแฮกสมองคนอื่นควบคุมให้ทำตามความคิดเราได้ทีเดียว หรือเราโดนเขาควบคุมง่ายเพราะเป็น receiver ฮ่าาาา
7. ส่วนทฤษฎีโทรจิต (อังกฤษ: telepathy) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ให้การยอมรับและบางส่วนลงความเห็นว่าเพ้อเจ้อไม่เป็นความจริง จริงๆแล้วมันอาจเป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์บอกก็ได้ เพียงแต่ทั้งหมดคือความบังเอิญ
8. เขียนมานานพอสมควรก็เป็นบันทึกเล็กๆน้อยๆของประสบการณ์ส่วนตัวเป็นความทรงจำเผื่อมีคนที่เป็นเหมือนกันมาอ่าน
อ้างอิง
[1]https://th.m.wikipedia.org/.../%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8...
[2]https://www.thairath.co.th/content/509357
[3]https://thestandard.co/studio-jose-de-la-o-vase-brainwaves/